ไขมันทรานส์ อันตรายใกล้ตัว

เผย! ส่งผลมากกว่าแค่อ้วน-บั่นทอนชีวิตที่คุณรัก


ของทอด ขนมขบเคี้ยว เค้ก คุกกี้ แครกเกอร์ ขนมปัง ทั้งหลายที่เรียงรายกันอยู่บนชั้นซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านฟาสต์ฟู้ดต่างๆ นั้น ทั้งสีสันและรสชาติของมัน ใครเห็นก็คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่ามันช่างยั่วน้ำลายเสียนี่กระไร แต่จะมีใครรู้หรือไม่ว่า ภายใต้หน้าตาและรสชาติที่ทำให้คุณติดอกติดใจนั้น มันซ่อนอันตรายต่อสุขภาพที่มากกว่าแค่ทำให้คุณอ้วน (คุณอาจไม่สนใจนัก หากคุณไม่ได้กังวลเรื่องรูปร่างสักเท่าไหร่) แต่มันยังอาจบั่นทอนชีวิตที่คุณรัก ให้สั้นลงโดยไม่รู้ตัว


คุณอาจจะนึกไม่ถึงว่า ในอุตสาหกรรมการผลิตอาหารนั้นมีการแข่งขันกันสูงเพียงไร ยิ่งลดต้นทุนมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเก็บกำไรเข้ากระเป๋าได้มากขึ้นเท่านั้น ดังนั้น จึงมีการใช้ส่วนผสมราคาถูกเพื่อทำให้ผลิตภัณฑ์คงรูปร่างได้นาน และเก็บได้นานมากยิ่งขึ้น นี่เองจึงเป็นเหตุผลว่า เหตุใดเจ้า "ไขมันทรานส์ (Trans fatty acids)" จึงได้เป็นที่นิยมในหมู่ผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูปประเภทต่างๆ เพราะไขมันทรานส์ ก็คือไขมันพืชที่ถูกนำไปผ่านกระบวนการแปรรูปทางวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่า "ไฮโดรจิเนชั่น (Hydrogenation)" ซึ่งจะทำให้ไขมันชนิดนี้คงตัวอยู่ได้นานมากขึ้น ดังนั้น อาหารที่ทำจากไขมันทรานส์จึงเก็บได้นาน ไม่เสียง่าย ไม่มีกลิ่นหืน มีรสชาติถูกปาก แถมราคายังไม่แพงอีกด้วย


ไขมันทรานส์ พบมากในอาหารพวกทอดๆ ทั้งหลาย รวมทั้งอาหารฟาสต์ฟู้ด ขนมเบเกอรี่ เช่น คุกกี้ ขนมปังที่มีส่วนผสมของ เนยขาว (shortening) และมาการีน (margarine) รวมไปถึงพวกขนมสำเร็จรูปกรุบกรอบต่างๆ ที่เรามักจะซื้อติดไม้ติดมือเสมอตอนไปซูเปอร์มาร์เก็ตนั่นเอง


ในบรรดาไขมันทั้งหลาย นักโภชนาการจัดให้ไขมันทรานส์นั้นอันตรายเป็นอันดับหนึ่ง เพราะนอกจากมันจะเข้าไปเพิ่มระดับ LDL (low-density lipoprotein) ซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลชนิดเลวในเลือด เช่นเดียวกับการบริโภคไขมันอิ่มตัว (ไขมันจากสัตว์และน้ำมันปาล์ม) แล้ว มันยังลดระดับ HDL (high-density lipoprotein) ซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลชนิดดีในเลือดอีกด้วย ซึ่งการรับประทานอาหารที่มีไขมันทรานส์ติดต่อกันเป็นเวลานาน ก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของประชากรโลกเลยทีเดียว


หากจะกล่าวว่า ขณะนี้ ไขมันทรานส์ ได้กลายเป็นศัตรูอันดับต้นๆ ของคนรักสุขภาพทั่วโลกก็คงจะไม่เกินความจริงไปนัก เพราะในหลายๆ ประเทศทั่วโลก อาทิ สหรัฐอเมริกา แคนาดา สหภาพยุโรป ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ต่างออกข้อบังคับเกี่ยวกับการระบุปริมาณไขมันทรานส์บนฉลากโภชนาการ และให้คำแนะนำแก่ประชาชนในการจำกัดการบริโภคอาหารที่มีไขมันทรานส์ นอกจากนี้ บางรัฐในสหรัฐอเมริกา เช่น นิวยอร์กได้ออกมาประกาศว่าจะเป็นรัฐแรกในสหรัฐอเมริกาที่ปลอดไขมันทรานส์ โดยออกมาตรการให้บรรดาร้านอาหาร ภัตตาคาร และผู้ประกอบการด้านอาหารทั้งหลาย ค่อยๆ ลดการใช้ไขมันชนิดนี้ในการปรุงอาหาร และหยุดใช้โดยเด็ดขาดทั่วทั้งนิวยอร์กภายในเดือน ก.ค.2551


สำหรับในประเทศไทย เนื่องจากยังไม่มีมาตรการทางกฎหมายใดๆ มาควบคุมการใช้หรือบังคับการระบุปริมาณไขมันทรานส์บนฉลากโภชนาการ ในฐานะผู้บริโภค เราจึงควรดูแลตัวเองด้วยการระมัดระวังเรื่องการรับประทานอาหาร หลีกเลี่ยงอาหารประเภทของทอด ซึ่งใช้น้ำมันทอดซ้ำๆ จนหนืด พวกขนมขบเคี้ยวที่เก็บไว้นานๆ ก็ยังกรุบกรอบ รวมทั้ง ที่มีส่วนประกอบของเนยขาวและมาการีน อย่างไรก็ดี แต่ยังนับเป็นข่าวดีสำหรับผู้บริโภคอย่างเราๆ ที่ยังมีผู้ผลิตอาหารที่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้บริโภค ด้วยการหลีกเลี่ยงไขมันทรานส์และใช้ไขมันจากธรรมชาติแทน เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้บริโภคที่มีความห่วงใยในสุขภาพของตนเอง เช่น โอ บอง แปง ต้นตำรับเบเกอรี่คาเฟ่ จากสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้ริเริ่มเบเกอรี่สูตร ซีโร่ แกรมส์ ทรานส์ แฟท (Zero Grams Trans Fat) ขึ้นในสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2004 และปัจจุบัน โอ บอง แปง ซึ่งมีสาขากว่า 38 สาขาในประเทศไทย รู้อย่างนี้แล้วก็ต้องเลือกอาหารบริโภคให้ดีนะคะ


ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์