อันตราย..ภัยใกล้ตัวผู้หญิง

อันตราย..ภัยใกล้ตัวผู้หญิง

ภัยโรคจิตภารกิจ : ลวนลามผ่านกรรมวิธีทางคำพูด กิริยาหรือแม้กระทั่งสายตากลุ่มเป้าหมาย : ดักแซวผู้หญิงทุกวัย โดยเฉพาะวัยรุ่น ไม่เว้นแม้แต่ตุ๊ด กระเทย ทอม ดี้ วิธีรับมือ : พิจารณาพฤติกรรมก่อนว่าจัดอยู่โรคจิตประเภทใด ถ้าเป็นโรคจิต (คนบ้า) อย่าต่อปากต่อคำให้แจ้งตำรวจทันที แต่ถ้าเป็นโรคจิตประเภทจิตเสื่อม หรือจิตต่ำทราม ให้ร้องกรี๊ดเสียงดังๆขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง จากนั้นแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ (หลังรุมสกรัมกันเองแล้ว)


ภัยบัตรเครดิต (แบบไม่รู้ตัว)ภารกิจ : ส่วนใหญ่ทำเป็นขบวนการ ใช้สำเนาเอกสาร บัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน ที่คุณเคยยื่นทำธุรกรรมการเงินตามบริษัทหรือสมัครสมาชิกที่ต่างๆมาปลอมแปลงแอบอ้างทำบัตรเครดิตกลุ่มเป้าหมาย : คนทำงานฐานเงินเดือนและอายุงานตามกำหนด (ส่วนใหญ่ 15,000 บาทและอายุงาน 1 ปีขึ้นไป)สถานที่ : ร้านค้า, ห้างสรรพสินค้าที่เขียนป้ายว่า "ยินดีรับบัตรเครดิต" จากนั้นก็รูดกระหน่ำและเชิดหนีวิธีรับมือ : เซ็นรับรองสำเนาถูกต้องขีดคร่อมเอกสารทุกฉบับ และเขียนกำกับว่าใช้เพื่อทำธุรกรรมประเภทใด หรือถ้าสงสัยยอดค่าใช้จ่ายในใบเรียกเก็บค่าต่างๆให้รีบติดต่อบริษัทนั้นๆ เพื่อค้นหาข้อมูล

ภัยเครื่องดื่ม (แอลกอฮอล์)ภารกิจ : ส่วนใหญ่แอบผสมสารออกฤทธิ์ประเภทเดียวกับยานอนหลับในเครื่องดื่มกลุ่มเป้าหมาย : วัยรุ่นผู้หญิงชอบเที่ยวกลางคืน แต่งตัววูบวาบ เซ็กซี่ดูมีฐานะวิธีรับมือ : แต่งตัวให้มิดชิด ไม่เที่ยวคนเดียวหรือรับดริ๊งค์จากคนแปลกหน้าหมายเหตุ : เครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ทำให้ประสิทธิภาพในการขับรถลดลง แต่สำหรับผู้หญิงนับเป็นปัจจัยเสี่ยงให้มีการเสียตัวสูง ผู้หญิงกว่าครึ่งผับเลือกผสมแอลกอฮอล์ในเครื่องดื่มเพื่อเพิ่มความสนุกสนาน นอกเหนือจากเสียงเพลงและสิ่งบันเทิงใจอื่นๆ อาทิ ผู้ชายหน้าตาดี (ที่ยังไม่รู้จักนิสัย) เสื้อผ้าชุดใหม่ที่ใส่แล้วสุดวาบหวิว (จริงๆแล้วคนหน้าตาดีใส่อะไรก็สวยทั้งนั้น) และค็อกเทลสูตรใหม่ (ที่ไม่รู้ว่าใครผสมสารอะไรให้ดื่มหรือเปล่า)

ภัยหมอดูหลอกลวงภารกิจ : พูดจาหว่านล้อม ทำทีทำนายทักดวงชะตาในแง่ลบ ขอดูลายมือหรือพยายามแตะเนื้อต้องตัว และใช้ยาชาหรือยาสลบและเรียกทรัพย์ในรูปแบบสะเดาะเคราะห์ โดยคุณไม่ได้สติกลุ่มเป้าหมาย : ผู้หญิงบุคคลทั่วไปที่หน้าตาไม่ค่อยฉลาด จิตอ่อน งมงายเกินเหตุ งก อยากรวยทางลัด ระแวงกลัวสามีหรือแฟนจะนอกใจ จึงต้องพึ่งไสยศาสตร์วิธีรับมือ : งดเดินทางคนเดียวและใส่เครื่องประดับเกินความจำเป็น ดูดวงได้แต่ต้องดูอย่างมีสติ ไม่หลงงมงาย (ถ้าไม่อยากหมดตัว)

ภัยใบเสร็จรับเงินภารกิจ : ขายของแต่ไม่ให้ใบเสร็จรับเงิน (โดยอ้างเหตุผลต่างๆนานา) หรือสุ่มกล่าวหาผู้ซื้อว่าขโมยสินค้า ขอค้นตัวและเรียกค่าปรับ 10 เท่า (ถ้าไม่มีใบเสร็จยืนยัน)กลุ่มเป้าหมาย : ลูกค้าที่ซื้อสินค้าแล้วไม่ขอใบเสร็จรับเงิน หรือทิ้งใบเสร็จรับเงินทันทีที่ซื้อสินค้าวิธีรับมือ : เก็บใบเสร็จรับเงินไว้ยืนยันทุกครั้งเมื่อซื้อสินค้า และถ้าสงสัยว่าพนักงานจะร่วมมือเป็นกระบวนการ ควรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อตรวจสอบ

ภัยสังคมภารกิจ : ก่อเหตุในจุดที่ลับตาคน พูดจากล่อมจนเหยื่อไว้ใจกลุ่มเป้าหมาย : ผู้หญิงที่ชอบไปไหนมาไหนคนเดียว และใส่เครื่องประดับประดาวิธีรับมือ : อย่าหลงเชื่อคำพูดหรือไว้ใจคนแปลกหน้า, ไม่ควรไปไหนตามลำพัง

ภัยห้องลองเสื้อภารกิจ : จัดห้องลองแบบใช้ผ้ากั้น ,ติดกล้องวงจรปิด, ติดตั้งกระจกไว้ในลักษณะเอียงตามมุมต่างๆ (ซึ่งสามารถสะท้อนให้คนภายนอกมองผ่านได้)กลุ่มเป้าหมาย : ผู้หญิงวัยรุ่นที่นิยมซื้อเสื้อผ้าตามร้านริมทางหรือในที่สาธารณะ และใช้บริการห้องลองแบบผ้ากั้นวิธีรับมือ : ช่วยกันตะโกนร้องประจานเจ้าของร้านทันทีที่พบเหตุการณ์แบบนี้ (ให้อายจนขายของไม่ได้เลย) แจ้งตำรวจจับทันที และระมัดระวังตัวทุกครั้งเวลาลองเสื้อผ้า

ภัยรถแท็กซี่ภารกิจ : ป้ายยาไว้ที่ฝ่ามือ แล้วแกล้งเอื้อมมือกดปุ่มมิเตอร์ จากนั้นพยายามอังมือไว้ที่ช่องแอร์ โดยหันแอร์ไปทางผู้โดยสารและปิดกระจกรถกลุ่มเป้าหมาย : กลุ่มผู้หญิงวัยรุ่นที่นุ่งกระโปรงสั้น สวมเสื้อผ้าไม่มิดชิด ใส่เครื่องประดับล่อแหลมวิธีรับมือ : ถ้าตกอยู่ในสถานการณ์นี้ให้รีบเปิดกระจกสูดอากาศภายนอก และลงจากรถทันที จดทะเบียนรถ แจ้งตำรวจ

ภัยอาวุธป้องกันตัวภารกิจ : ใช้อุปกรณ์ป้องกันตัว อาทิ คัตเตอร์, เครื่องช็อตไฟฟ้า, สเปรย์พริกไทย, กระบอกไฟฟ้า, ปืนปากกา ของเหยือ กลับมาทำร้ายเหยื่อกลุ่มเป้าหมาย : วัยรุ่นหญิงที่ชอบพกอุปกรณ์เหล่านี้ติดกระเป๋าวิธีรับมือ : อุปกรณ์เหล่านี้เปรียบเสมือนดาบสองคม ก่อนใช้ควรศึกษารายละเอียดและวิธีใช้ และควรพิจารณาว่าเครื่องมือเหล่านี้สามารถรับมือกับคนร้ายได้หรือเปล่า ถ้าคิดว่าไม่รอด ไม่ต้องควักออกมา จะเป็นภัยตัวเองเปล่าๆ

ในเมื่อเรารู้วิธีป้องกันตัวเองแล้วอย่าลืมเอามาใช้ล่ะข้อมูลจาก
ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต ไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล

เตือนหญิงไทยตกเป็นเหยื่อแก๊งค้ายาฯ ข้ามชาติ!

การรณรงค์และมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านทำข้อตกลงต่อต้านยาเสพติดร่วมกัน เพื่อให้การแพร่ระบาดลดลง มีผลให้ผู้ค้ายาเสพติดเปลี่ยนรูปแบบ วิธีการ เพื่อหลบหนีมาตรการตรวจจับอันรัดกุมของเจ้าหน้าที่ภาครัฐ ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลในประเทศเพื่อนบ้าน จนผู้ค้าไม่สามารถส่งสินค้า หรือลำเลียงยาเสพติดได้อย่างสะดวก
กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ แจ้งว่า จากข้อมูลที่ได้รับจากนักโทษยาเสพติดที่ถูกจับในประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีน ประมวลได้ว่า คนไทยถูกชักนำเข้าสู่กระบวนการค้ายาเสพติด ในฐานะผู้ลักลอบขนยาเสพติดจากแหล่งผลิตในประเทศที่สาม (อินเดียและปากีสถาน) ไปยังแหล่งจำหน่ายในประเทศจีน
ผู้จ้างวานส่วนใหญ่เป็นชาวแอฟริกันตะวันตกที่เข้ามาในประเทศไทย โดยกลุ่มคนเหล่านี้เริ่มต้นด้วยการใช้ นกต่อ ที่เป็นผู้หญิงไทยซึ่งอาจเป็นภรรยา ติดต่อกับ "เหยื่อ" หญิงไทยที่พร้อมจะเสี่ยงเป็นผู้ขนลำเลียงยาเสพติด "นกต่อ" ให้เหยื่อเดินทางไปยังแหล่งยาเสพติด โดยออกค่าเดินทางพร้อมเงินติดตัวไม่รวมค่าจ้างและ เมื่อได้รับของแล้วเดินทางต่อไปยังจุดหมายปลายทาง คือ ประเทศจีนซึ่งปัจจุบันมีตัวเลขนักโทษไทย ที่ถูกจับกุมในข้อหาลักลอบขนยาเสพติดอยู่ถึง 60 ราย
ที่น่าเป็นห่วงคือกว่าครึ่งของนักโทษที่ถูกจับกุมมีความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ว่า อายุในวัยทำงานเฉลี่ย 20-30 ปี ซึ่งผู้ถูกจับกุมถูกนายหน้า คนกลางชักจูงว่าหากถูกจับได้รับโทษจำคุก เพียง 5-10 ปีเ ท่านั้น แต่ในความเป็นจริงโทษที่ได้รับนั้นเป็นโทษสูงสุดถึงประหารชีวิตหรือจำคุก ตลอดชีวิต นอกจากนี้ยังมีหญิงไทยต้องโทษ ในอเมริกาใต้17คนข้อหา "ลักลอบขนยาเสพติด" หญิงไทยดังกล่าวหวังขนยาเสพติดโคเคน กลับประเทศไทยแต่ถูกจับได้
กองคุ้มครองฯ กรมการกงสุลจึงออกเตือนหญิงไทยหรือผู้ที่กำลังจะตกเป็นเหยื่อระวังการถูกชัก ชวนหรือชักจูงจากขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติเหล่านี้ และสุดท้ายผู้ขนส่งยาเสพติดไม่มีทางรอดต้องโทษสูงสุดประหารชีวิตครอบครัว เดือดร้อนยิ่งกว่าเดิมรวมทั้งขอให้คำนึงถึงผลร้ายของการค้ายาเสพติดที่ทำลาย สังคมและเยาวชนพบเบาะแสหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่กองคุ้มครองฯ โทร.0-2575-1046-51

ที่มา คมชัดลึก

ฉันฆ่าสามี!! ตราบาป...ไม่ยุติธรรม

"นังผู้หญิงใจบาป ขนาดผัวมันยังฆ่าได้ลงคอ!!"
คำด่าทอจากสังคมยังคงดังก้องอยู่ในความรู้สึกของ มะลิ และ เอื้องจันทน์ 2 ผู้ต้องหาที่ถูกดำเนินคดีฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ซึ่งผู้เสียชีวิตก็หาใช่คนอื่นคนไกล แต่เป็นสามีที่รวมเรียงเคียงหมอนมาด้วยกัน
สังคมรุมประณามหยามเหยียด โดยหารู้ไม่ว่า ก่อนที่ทั้งคู่จะกลายเป็นจำเลย พวกเธอต้องตกอยู่ในสภาพ....ผู้ถูกสามีกระทำความรุนแรง จนบอบช้ำรุนแรงทั้งร่างกายและจิตใจ!!
"สมกับคำด่าของเขาแล้ว"
มะลิ หญิงชาวชัยภูมิ วัย 30 ปี อาชีพก่อสร้าง พูดด้วยน้ำเสียงขมขื่น "เพราะฉันเป็นคนฆ่าเขาเองกับมือ" เธอรับสารภาพ ทั้งที่ตลอด 6 ปีที่อยู่กินกับสามีอาชีพช่างก่อสร้างเหมือนกัน จนมีลูกชายด้วยกัน 1 คนนั้น เขาไม่เคยเป็นสามีและพ่อที่ดีเลย วันๆ เอาแต่กินเหล้า เสพยาบ้า ซึ่งนี่เป็นต้นเหตุที่ทำให้ทั้งสองทะเลาะกันบ่อยๆ และทุกครั้งที่ทะเลาะกัน เขาจะกระทำกับเธอประดุจกระสอบทราย
"เวลาเขาโกรธเขาจะชอบบีบคอ ด่าหยาบๆ ทำร้ายตบตี มีหลายครั้งเจ็บปางตายต้องนอนหยอดน้ำข้าวต้ม"
แต่มะลิก็อดทน แม้เขาจะทำร้ายอย่างไร เธอก็ยังให้อภัย...
กระทั่ง ...เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ทั้งคู่ทะเลาะกันด้วยเรื่องเดิมๆ ที่เขาเอาแต่กินเหล้าไม่สนใจลูกเมีย เขาลงมือตบตีจนมะลิทนไม่ได้ บอกเลิก และจะกลับไปอยู่บ้านกับพ่อแม่ที่ชัยภูมิ
"ก่อนจะไป ขอตีให้น่วมก่อน" สามีพูดก่อนเดินถือค้อนเข้ามาหวังจะตีมะลิ ระหว่างนั้นมะลิหันไปเห็นมีดอยู่ข้างๆ เธอจึงยกมีดขึ้นมาเพื่อใช้ป้องกันตัว เหตุการณ์ชุลมุนอยู่พักหนึ่ง แล้วมีดก็ปักเข้าไปที่ท้องของผู้เป็นสามี!! เขาล้มลง พร้อมกับทิ้งตราบาปให้มะลิต้อง "มือเปื้อนเลือด" ไปตลอดชีวิต
ขณะนี้ คดีของมะลิอยู่ในชั้นการพิจารณาสอบสวนของอัยการ โดยได้รับการช่วยเหลือจากมูลนิธิเพื่อนหญิง
เช่นเดียวกับ เอื้องจันทน์ อายุ 52 ปี ชาวจ.พะเยา อาชีพค้าขาย ซึ่งมีชะตาชีวิตไม่ต่างจากมะลิ แม้สามีของเอื้องจันทน์จะไม่ติดเหล้า ติดยา แต่ความเจ้าชู้ของเขานั้น หาตัวจับยากจริงๆ
"อยู่กับเขามา 17 ปี เจ็บช้ำน้ำใจเรื่องความเจ้าชู้มาตลอด" ซึ่งนี่เป็นต้นเหตุที่ทำให้ทั้งคู่มีปากเสียงกันตลอด 17 ปีที่ใช้ชีวิตร่วมกัน
"ครั้งล่าสุด อายุตั้ง 77 แล้วยังไม่เลิกเจ้าชู้ แถมยังโทรศัพท์พูดเสียงอ่อนเสียงหวานกับผู้หญิงคนนั้นต่อหน้าเรา แต่พอคุยกับเราตะคอกใส่ทุกคำ" เอื้องจันทน์ระบายความอัดอั้น "พอเราจับได้ ก็ไม่ยอมรับ แถมยังจุดธูปต่อหน้าพระสาบานว่า หากมีจริง ขอให้ตายภายใน 3 วัน 7 วัน"
2 เดือนต่อมาหลังจากวันที่สาบาน เขาก็เสียชีวิตลง! จากเหตุการณ์ที่ทั้งคู่มีปากเสียงกันอย่างรุนแรงเรื่องที่ฝ่ายชายไปมีหญิงอื่น ไม่ยอมให้เงินใช้จ่ายเป็นค่าเช่าบ้าน ค่าผ่อนรถ เอื้องจันทน์ถูกสามีทำร้ายด้วยการเตะ ตีเข่า ชกบริเวณหน้าอก และตีด้วยท่อนเหล็ก เธอจึงหยิบมีดขึ้นมาเพื่อป้องกันตัว เป็นจังหวะเดียวกับที่สามีโถมตัวเข้ามาพอดี ปลายมีดแทงเข้าไปบริเวณซี่โครงซ้าย 1 ครั้ง
จากเหตุการณ์นี้ ทำให้เอื้องจันทน์ถูกควบคุมตัวเข้าฝากขังที่ทัณฑสถานหญิงเป็นเวลา 18 วัน ข้อหาฆ่าคนตาย ก่อนที่บุตรสาวจะประกันตัวออกมา เธอยอมรับกรรมที่เกิดขึ้นอย่างไม่มีข้อแก้ตัว ซึ่งถ้าไม่ห่วงลูกสาวและหลานๆ ให้เธออยู่ในนั้นตลอดไปก็ได้
"ยอมรับ ตัวเองว่าเป็นคนบาป เครียดมาก มีแต่คนประณามว่าดิฉันเลว แต่ไม่มีใครรู้เลยว่า ตลอดเวลามันเจ็บช้ำแค่ไหน ด้วยความสัตย์จริงว่า ฉันไม่ได้อยากฆ่าเขา เพราะถ้าอยากให้เขาตายจริง คงไม่อยู่กับเขามาถึง 17 ปีหรอก" แล้วเธอก็ร้องไห้
ขณะนี้ คดีของเอื้องจันทน์อยู่ระหว่างการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่ว่าผลการดำเนินคดีจะออกมาอย่างไร เอื้องจันทน์ก็น้อมรับชะตากรรม
"ชีวิตนี้เพิ่งได้มาเจอ ขอแค่ครั้งเดียวพอแล้ว ชาติไหนๆ ก็ขออย่าได้เจออีกเลย" พูดด้วยน้ำเสียงสะอื้น
เรื่องราวชีวิตของเธอทั้งคู่ เปรียบเสมือนกระจกส่องครอบครัวไทยหลายๆ ครอบครัว ที่ผู้หญิงถูกกระทำเหมือนไม่ใช่คน จริงอยู่ แม้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในทางกฎหมาย มันเป็นการกระทำเกินกว่าเหตุ และควรได้รับโทษทัณฑ์ แต่หากมองย้อนกลับไปถึงสาเหตุโศกนาฏกรรม
"ตราบาป" ที่ได้รับวันนี้ มันไม่ยุติธรรมเลย!!!
สถิติน่าห่วง ชนวนโศกนาฏกรรม
- นางสาวสุเพ็ญศรี พึ่งโคกสูง หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิสตรี มูลนิธิเพื่อนหญิง กล่าวว่า สำหรับกรณีภรรยาฆ่าสามีนั้น เมื่อก่อนนานๆ 4-5 ปี มี 1-2 คน แต่ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นเป็น 2-3 คนต่อปี
- นางสาวปานจิตต์ แก้วสว่าง นักสังคมสงเคราะห์ มูลนิธิผู้หญิง ได้ให้ข้อมูลว่า ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2552 มูลนิธิได้ช่วยเหลือผู้หญิงที่ประสบปัญหาความรุนแรงในครอบครัว 110 คน โดยเกือบทั้งหมดเป็นความรุนแรงที่กระทำโดยสามี นอกจากนี้ยังได้ช่วยเหลือผู้หญิงในคดีเจตนาฆ่าสามีจำนวน 4 คน
- นายจีราวัฒน์ จันทร์หอม หัวหน้าฝ่ายรับเรื่องราวร้องทุกข์ ศูนย์ประชาบดี 1300 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยข้อมูล ในช่วงเดือนตุลาคม 2551 ถึงเดือนสิงหาคม 2552 มีผู้หญิงถูกละเมิดทางร่างกาย ทางเพศ ทางจิตใจ โทรศัพท์มาปรึกษาและขอความช่วยเหลือ 262 เรื่อง ซึ่งมีถึง 214 เรื่องที่ถูกทำร้ายร่างกาย ส่วนใหญ่มีอายุ 31-40 ปี ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความรุนแรงเกิดขึ้นกับผู้หญิง
ที่มา สนุกดอทคอม

ทีวี..อันตรายใกล้ตัวลูกรัก

ทีวี..อันตรายใกล้ตัวลูกรัก ตอนที่ 1

ผมได้พบเด็กจำนวนมาก ซึ่งคุณพ่อคุณแม่พาลูกมาปรึกษาด้วยเรื่องพูดช้า พัฒนาการทางภาษาช้า ไม่ค่อยทำตามสั่ง บางคนอายุ 2 -3 ขวบ แล้วแต่ยังไม่พูด หรือพูดได้เป็นคำเดี่ยวๆ นานๆ พูดครั้ง ส่วนใหญ่มักพูดเป็นภาษาที่ฟังไม่รู้เรื่อง เมื่อได้วินิจฉัยแยกโรคแล้วว่าไม่ใช่สาเหตุจากการได้ยินผิดปกติ ไม่ใช่เด็กออทิสติก และไม่ได้เกิดจากความบกพร่องทางสติปัญญาแล้ว ประวัติที่สำคัญอีกอันหนึ่งซึ่งมีความสำคัญคือคุณพ่อคุณแม่ให้ลูกดูทีวีมากเกินไปหรือไม่ โดยทั่วไปปัญหาจะ เกิดกับเด็กที่ดูนาน 6-8 ชั่วโมงต่อวัน ไม่ใช่แค่ 1-2 ชั่วโมง และมักไม่ใช่เด็กที่ดูทีวีแบบช่วงสั้น เช่นดู แต่โฆษณาบางอันที่ชอบ แล้วไป เล่น แต่มักเป็นเด็กที่สนใจดูต่อเนื่อง 30 นาที บางครั้งเป็นชั่วโมง ถ้าเป็นวิดีโอซีดีก็สนใจดูจนจบแผ่น อาจดูซ้ำๆ หลายรอบ และมักมี อารมณ์ร่วมกับเนื้อหาที่ดู มีหัวเราะลุก ขึ้นเต้นตาม เด็กบางคน เริ่มสนใจดูทีวีตั้งแต่อายุยังน้อยมากอย่างไม่น่าเชื่อ เช่น อายุเพียง 9 เดือนเท่านั้น และมักดูต่อเนื่องมาเรื่อยๆ และนานขึ้น เรื่อยๆเมื่ออายุมากขึ้น เด็กกลุ่มนี้จัดเป็นกลุ่มที่มีพัฒนาการทางภาษาล่าช้า เนื่องจากจากการ ขาดการกระตุ้น ขาดการมี ปฏิสัมพันธ์กับผู้เลี้ยงดู ทางการแพทย์ใช้คำว่า Improper stimulation หรือ Psychosocial deprivation เดิมเด็กกลุ่มนี้ คือ เด็กที่อยู่ตามสถานสงเคราะห์ พ่อแม่ทิ้ง เจ้าหน้าที่เลี้ยงดู เด็กงานมาก ต้องดูแลเด็กหลายคนจึงไม่มีเวลาเล่นหรือพูดคุยกับเด็ก เด็กมักอยู่คนเดียวตามลำพัง ขาดการกระตุ้นจากผู้ใหญ่ มักพัฒนาการด้านภาษาและสังคมช้า ไม่ค่อยพูด ซึม ไม่ค่อยยิ้ม นั่งโยกตัว เล่นคนเดียว


ตัวอย่างที่ผมได้พบ คือ มีเด็กรายหนึ่งอายุ 2 ปี มาด้วยยังไม่พูด คุณแม่เป็นแม่บ้านเลี้ยงลูกเอง แม่ชอบเปิดโทรทัศน์ให้ดูเกือบตลอดวันเพราะเห็นว่าลูกชอบและนิ่งดี ไม่ซน แม่จะได้มีเวลาทำงานบ้านได้สะดวก คุณแม่ท่านนี้ไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายพัฒนาการลูกทางอ้อม แต่ทำไปเพราะไม่รู้เห็นว่าลูกมีความสุขดี ตัวเองก็จะได้ทำงานบ้านได้สะดวก อีกรายหนึ่ง อายุประมาณ 2 ปี 6 เดือน ดูวิดีโอซีดีรายการของเด็ก เช่น เทเลทับบี้ บาร์นี่ ซึ่งเป็นภาคภาษาอังกฤษ โดยให้ดูตั้งแต่อายุเพียง 1 ขวบเพราะคิดว่าลูกจะได้หัด ฟังและพูดภาษาอังกฤษ แต่ผลกลับตรงกันข้ามคือลูกกลับพูดช้า มีแต่ภาษาแปลกๆ ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง เรียกไม่ค่อยหัน ไม่ทำตามสั่ง


ทีวีแทนคนไม่ได้


เมื่อ 100 กว่าปีก่อน... มนุษย์ยังไม่รู้จักโทรทัศน์ ทางเดียวที่ใช้ติดต่อสื่อสารกันก็คือการพูด ลูกของมนุษย์เรียนรู้การพูดผ่านการมี ปฏิสัมพันธ์กับพ่อแม่ แต่ปัจจุบันเด็กเล็กๆ หลายคนเติบโตมาพร้อมกับจอสี่เหลื่ยมที่เหมือนมีคน อยู่ข้างใน พูดคุยได้ หัวเราะได้ ร้องไห้ได้ ยิ่งในปัจจุบันเทคโนโลยก้าวหน้าทำให้มี สื่อหลายรูปแบบมากขึ้น จากรายการโทรทัศน์ธรรมดา ก็มี รายการจากเคเบิลทีวี ซึ่งมีให้ดู ตลอด 24 ชั่วโมง เวลาสี่ทุ่มแล้วก็ยังมีรายการการ์ตูนให้ดู และจากวิดีโอเทปก็พัฒนาเป็นวิดีโอซีดี เปิดปิดได้ง่ายเพียงปลายนิ้วกด เพราะฉะนั้นเด็ก 2-3 ขวบ บางคนอาจกดวิดีโอซีดีดูเองได้ตามต้องการ นอกจากนี้ถ้าใครมีลูกหลานจะเห็นว่าเด็กหลายคน ดูการ์ตูนหรือภาพยนตร์ที่ชอบจากวิดีโอซีดี ซ้ำแล้วซ้ำอีกเป็น 10 ครั้ง โดยไม่เบื่อหน่าย ดูจนจำตอนได้หมดก็ยังดู


ทั้งหมดนี้ทำให้เกิดปัญหาก็เพราะทีวีนั้นต่างกับคนตรงที่การดูทีวีนั้นเป็นการสื่อสารทางเดียว (One way communication) คือ ไม่ว่าเด็กจะยิ้ม หัวเราะ หรือพยายามสื่อสารทางกายด้วย ทีวีไม่เคยตอบสนองกลับคืนมาเลย มันจะส่งภาพและเสียงออกมาตามสัญญาณโทรทัศน์ที่ได้เท่านั้น ทีวีหรือวิดีโอซีดีจึงแทนความสัมพันธ์กับคนไม่ได้ เด็กที่ดูทีวีตลอดวันจึงเรียนรู้แต่การรับ อย่างเดียว ไม่เรียนรู้การส่ง หรือการสื่อสารออกไป


ทฤษฏีการตัดแต่งกิ่งไม้


งานวิจัยต่างๆ ในปัจจุบันให้เราเข้าใจเหตุปัจจัยที่มีผลต่อสมอง และพัฒนาการมากขึ้น พอที่จะนำมาอธิบายว่าทำไมเด็กที่ทีวีมากๆ จึงมีปัญหาพูดช้า พัฒนาการทางภาษาช้า นั่นคือเรื่องการตัดแต่งกิ่งไม้ (prunning) หรือการสูญหาย ไปของจุดเชื่อมต่อของใยประสาทในสมองกล่าวคือในสมองของคนเราจะมีเซลล์ประสาทสมอง (neurons) และมีใยประสาท (dendrite) จำนวนมากรับกระแสประสาทขาเข้า ซึ่งส่งมาจากส่วนส่งออก (axon) ของเซลล์ประสาทอื่นด้วย เซลล์ประสาทสมองจะมีปฏิกิริยาตอบสนองโดยสั่งการเป็นกระแสไฟฟ้าและสารเคมีไปสื่อสารกับเซลล์อื่น เรื่องน่าแปลกก็คือในเด็กเล็กนั้นธรรมชาติจะกำหนดให้สร้างใยประสาทในสมองเป็น 2 เท่าของจำนวนที่ใช้จริง เซลล์ประสาทที่ใช้ บ่อยๆจะรวมกันเป็นกลุ่ม ทุกอย่างที่เด็กถูกกระตุ้นผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 เช่น การเห็น การได้ยิน การสัมผัส การกระตุ้นเหล่านี้จะถูกเปลี่ยนเป็นกระแสไฟฟ้าไปยังจุดเชื่อมต่อของใยประสาท (synapse) เพื่อสื่อสารกับเซลล์ประสาทสมองอื่นๆ จุดเชื่อมต่อที่แข็งแรงจะถูกเลือกเก็บไว้ ถ้าไม่ถูกใช้ จุดเชื่อมต่อใยประสาท ที่ไม่ได้สื่อสารกับเซลล์ประสาทสมองอื่นจะหมดสภาพ คล้ายการเชื่อมต่อกับเซลล์อื่นในที่สุดจะลีบฝ่อตายไป เหมือนการแต่งกิ่งของต้นไม้ (pruning) คือ อันไหนไม่ใช้ก็ตัดทิ้งไป (use it or lose it) ประมาณกันว่าเด็กจะเสียจุดเชื่อมต่อใยประสาทประมาณ 20 พันล้านต่อวัน การกระตุ้นให้จุดเชื่อมต่อใยประสาท ทำงานอย่างเหมาะสมจะทำให้สมองส่วนนั้นทำงานเต็มที่ ถ้าถูกกระตุ้นให้ใช้ ใยประสาทก็จะแข็งแรงไม่ฝ่อไป แต่ไม่ถูกกระตุ้นใยประสาทของสมองส่วนนั้นอาจฝ่อไป ตัวอย่างการเลือกเก็บใยประสาท ได้แก่การเรียนรู้ทางภาษา สมองของเด็กเปิดรับรู้ภาษาตั้งแต่แรกเกิด ถ้าได้รับการกระตุ้น และเรียนในวัยเด็กเล็กก็จะมีสามารทางภาษาดีกว่าไปเรียนภาษาเมื่อโตแล้ว ดังนั้นจึงอธิบายได้ว่าเด็กที่ดูแต่โทรทัศน์ซึ่งเป็นการสื่อสารทางเดียว เกือบตลอดวันนาน 6-8 ชั่วโมงโดยสนใจจดจ่ออยู่แต่จอทีวี ไม่สนใจผู้คนหรือสิ่งรอบข้าง เด็กก็จะขาดเวลาและโอกาสที่จะได้รับการกระตุ้นทางการพูดคุย และไม่มีปฏิสัมพันธ์กับพ่อแม่ เซลล์ประสาทสมองที่เกี่ยวกับพัฒนาการทางภาษาโดยเฉพาะการที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นก็จะไม่ได้รับการกระตุ้น เด็กกลุ่มนี้อาจ เรียนรู้ที่จะรับอย่างเดียว ไม่เรียนรู้ที่จะส่งหรือสื่อสารออกไป เพราะทีวีไม่เคยสนใจหรือตอบสนองต่อการส่งหรือสื่อสารของเด็ก เด็กกลุ่มนี้จึงพูดช้า ไม่ค่อยทำตามสั่ง


กฏและคำเตือนที่เราไม่ค่อยรู้


เมื่อโทรทัศน์มีผลกระทบต่อพัฒนาการด้านภาษาและสังคมมากดังได้พูดคุยกันไปแล้ว สมาคมกุมารแพทย์ของประเทศสหรัฐอเมริกาจึงออกกฏและคำเตือนให้ยึดถือและปฏิบัติในเรื่องการให้เด็กดูโทรทัศน์ ดังนี้คือ เด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ไม่ควรให้ดูโทรทัศน์เลย (ย้ำนะครับว่าไม่ควรให้ดูโทรทัศน์เลย) และเด็กที่อายุเกิน 2 ปีก็ควรดูไม่เกิน 2 ชั่วโมงต่อวัน มีแต่เลข 2 จำง่ายดีครับ ผมคิดว่าเป็นหลักเกณฑ์ที่ดีมาก แต่ในประเทศไทยมีคนพูดถึง หรือให้ความสำคัญน้อยมาก ฝากคุณพ่อคุณแม่ช่วยบอกและเตือนกันต่อๆ ไปด้วยครับ


มาเล่นกับลูกกันเถอะ


หลังจากได้ปรึกษาแพทย์แล้ว การช่วยเหลือเด็กกลุ่มนี้ ก็คือ การแนะนำให้คุณพ่อคุณแม่ปิดทีวีเสีย (บางบ้านต้องเอาทีวีไปเก็บซ่อนไว้เลย เพื่อไม่ให้เด็กเห็น) แล้วลงมาเล่นกับลูกแบบมีปฏิสัมพันธ์ เช่น เล่นจ๊ะเอ๋ ไล่จับ ซ่อนหา หรือนั่งต่อเลโก้ด้วยกัน เล่นอะไรก็ได้ที่มี รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ มีการพูดคุยโต้ตอบกันกับลูก (ซึ่งทีวีทำแบบนี้ไม่ได้แน่) การเล่นมีความหมายสำหรับพัฒนาการของเด็กมากครับ ดังนั้นขอเพียงมีเวลาให้ลูกและร่วมกับความรู้ความเข้าใจ เห็นความสำคัญของการกระตุ้นพัฒนาการและสมอง เล่นกับลูกน้อยแทนที่จะให้เขาจม อยู่กับทีวีทั้งวันช่วยเหลือลูกได้แน่นอนครับ หลังจากปิดทีวีและเล่นกับลูกอย่างมีปฏิสัมพันธ์แล้ว เด็กกลุ่มนี้จะเริ่มดีขึ้นเร็ว ภายในเวลา 2 สัปดาห์ถึง 1 เดือน ซึ่งต่างจากเด็กออทิสติกซึ่งมักต้องใช้เวลานานจึงจะเริ่มดีขึ้น คุณพ่อคุณแม่บางท่านอาจบอกว่าเล่นกับลูกไม่ค่อยเป็น เล่นไม่เก่ง แต่ถ้าคุณพ่อคุณแม่เห็นความสำคัญของการเล่นและอาศัยความรักลูกซึ่งพ่อแม่ทุกคนมีอยู่แล้ว เราฝึกได้ครับ การเล่นกับลูกเป็นทักษะ (Skill) อย่างหนึ่ง พยายามเล่นกับลูกบ่อยๆ ก็จะเก่งขึ้นเองครับ การเล่นกับลูกนั้นนอกจากจะช่วยกระตุ้นพัฒนาการลูกแล้วยังทำให้คุณพ่อคุณแม่รู้จักและเข้าใจในตัวลูกมากขึ้น ลูกก็จะรู้จักและเข้าใจในตัวเรา มากขึ้นเช่นกัน ซึ่งจะเป็นพื้นฐานที่สำคัญยิ่งในการเลี้ยงดูลูกต่อไป


ที่มา : นพ.กมล แสงทองศรีกมล
กุมารแพทย์ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น

อันตรายใกล้ตัว ตอนน้ำดื่ม

วันหมดอายุของน้ำดื่มที่พิมพ์แปะไว้ข้างขวดน้ำดื่มที่เราใช้บริโภคในชีวิตประจำวันหลากหลายยี่ห้อนั้นสำคัญไฉน? บางคนบอกว่ามีด้วยหรือ ? ,ไม่เคย สังเกตุ , ทำไมต้องมี ? ,น้ำดื่มมีวันหมดอายุ ด้วยหรือ ? , บ้างบอกว่าขวดใส ๆ ไม่มีสิ่งปนลงไปได้หรอก ฝาก็ปิดสนิท อะไรจะเข้าไป ได้ ? หากเข้าไปเราก็ต้องสามารถมองเห็นได้
มีหลายเหตุผลครับสำหรับวันหมดอายุที่ติดอยู่ข้างขวดน้ำดื่ม
เหตุผลแรก สินค้าทุกอย่างต้องมีวันหมดอายุไม่ว่าจะ เป็นขนมถั่ว หรือสินค้าที่เน่าเปื่อยได้อื่นๆ
อีกเหตุผลหนึ่งคือรสชาติของมัน ตราบใดที่น้ำดื่มไม่ได้ถูกเปิด มันจะปลอดภัยต่อผู้บริโภคที่จะดื่ม แต่รสชาติสามารถเปลี่ยนได้เมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง ขวดพลาสติกสามารถทำให้รสชาติแย่ลงได้ถ้ามีการเก็บที่ไม่ดี แสงแดดก็เช่นกันสามารถทำให้พลาสติกเสื่อมคุณภาพ และปะปนลงไปในน้ำดื่มได้ แก๊สหลายชนิดสามารถผ่านพลาสติกเข้าไปได้ ซึ่งจะส่งผลต่อรสชาติของน้ำที่อยู่ในขวด ด้วยเหตุผลเหล่านี้ จึงควรเก็บขวดพลาสติกในสถานที่มืด แห้งและไม่ควรให้อยู่ใกล้กับสารเคมีภายในบ้านเช่น ทินเนอร์ (thinner) น้ำมันและสารทำความสะอาดชนิดแห้ง
มีคำแนะนำ เมื่อเปิดขวดน้ำดื่มแล้ว ควรใช้ควรภายใน 2 อาทิตย์เพราะว่าสาหร่ายหรือแบคทีเรียจะเจริญเติบโต และมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคได้
ดังนั้นน้ำในขวดที่ยังไม่เปิด จะไม่ เสีย แต่รสชาติของน้ำจะเปลี่ยนไปในระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งเราต้องสังเกตุดูวันหมด อายุนั่นเอง
สรุปการมีวันหมดอายุที่ข้างขวดน้ำดื่มเป็นเรื่องของ พรบ.อาหารและยา (อย.) และรสชาติที่ดีครับ
ไหนๆ ก็พูดถึงเรื่องขวดน้ำดื่มแล้ว ขอเล่าต่อเรื่องที่เคยเป็นข่าวผ่านทีวีเกี่ยวกับเรื่องขวดน้ำพลาสติกที่เรามักใช้กันอยู่ในชีวิตประวันกันต่ออีกสักหน่อย เพื่อเป็นประโยชน์ต่อคนที่ชอบใช้ความสะดวก หาซื้อได้ไม่ยาก ตามห้างสรรพสินค้า ร้านเซเว่น รวมไปถึงที่มีแจกตามปั้มน้ำมันที่เมื่อเรา เติมน้ำมันครบ 800 บาทแถมน้ำฟรี 1 ขวด ทำนองนี้เป็นต้น คุณเคยคำนึงถึงเรื่อง ต่างๆ ที่กล่าวมาแต่ตอนต้นกันบ้างหรือไม่
ข่าวเขาว่ามีคนเสียชีวิตเพราะการนำขวดพลาสติกดังกล่าวไปบรรจุน้ำดื่มครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้สารพิษชนิดหนึ่งสามารถละลายออกมาปะปนกับน้ำดื่ม เนื่องจากขวดประเภทนี้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ครั้งเดียว อายุใช้งานสั้น ๆ เท่านั้น ดังนั้นจึงไม่ควรเสียดายนำมาบรรจุน้ำดื่มอีก รวมทั้งน้ำที่อยู่กับขวดหากแม้ว่าเปิดกินไม่หมดแล้วเก็บไว้ในรถยนต์ ซึ่งรถดังกล่าวอาจจอดในที่มีอากาศร้อนจัด ๆ ความร้อนก็มีผลกับสารพิษที่มากับขวดได้ ดังนั้นเมื่อให้หมดภาย ภายในระยะเวลา 1 สัปดาห์ โดยเฉพาะหากเก็บขวดนั้นไว้ที่ร้อน ๆ
จะว่าไปแค่น้ำดื่มที่บรรจุในขวด ยังมีปัญหาขนาดนี้ แล้วที่ท่านไปทานข้าวตาม ร้านข้าวแกง แล้วดื่มน้ำเปล่าที่ทางร้านค้า จัดให้ใส่ในเหยือกพลาสติก แก้วใส่น้ำแข็งเปล่าที่วางในถังที่ใช้แช่สารพัด เพื่อเพิ่มความเย็น ไม่รู้ว่าจะมีสิ่งปนเปื้อนจากสิ่งประกอบรอบข้างอีกไม่รู้เท่าไร
ยังไงเสียก็อย่าลืมเรื่องวันหมดอายุของน้ำดื่ม และสถานที่เก็บน้ำดื่มในที่ที่ควรด้วยก็แล้วกันครับ เดี๋ยวจะหาว่ารู้แล้ว ทำไมไม่บอก มีจริง ๆ น๊ะ วันหมดอายุของน้ำดื่มบรรจุขวดพลาสติก และแม้ยังไม่หมดอายุก็ต้องเก็บไว้ในที่ที่สมควรด้วย เปิดแล้วดื่มไม่หมด เก็บไว้ดื่มต่อวันหน้าก็ไม่ค่อยจะดี หากยังขืนเสียดายขวด นำไปบรรจุซ้ำแล้ว ซ้ำอีกยิ่งไปกันใหญ่
จำไว้วันหลังซื้อน้ำดื่ม ควรดูให้ดีทั้งรูปลักษณ์ แบบบรรจุ วัสดุที่ใช้บรรจุ สภาพฝาผนึกบรรจุอยู่ในสภาพสมบูรณ์หรือไม่ และที่สำคัญวันหมดอายุที่ข้างขวดครับ น๊ะจะบอกให้ เดี๋ยวจะหาว่า บานเย็น24 ไม่เตือน ข้อมูล : http://banyen24.exteen.com/20080214/entry