ภัยข่มขืน

ข่มขืน เป็นเรื่องที่ผู้หญิง “ขมขื่น” ที่สุด ปัจจุบันผู้หญิงถูกข่มขืนทุกวันบางคนเคราะห์ดี (บนเคราะห์ร้าย) ข่มขืนแล้วปล่อย แต่บางคนเคราะห์ร้ายถูกข่มขืนแล้วฆ่าตายส่งวิญญาณออกจากร่างทั้งที่เธอเพิ่มเป็นผู้ส่งพวกมันขึ้นสวรรค์ หากเอ่ยถึงภัยร้ายแรงที่เกิดขึ้นกับลูกผู้หญิงภัยที่น่าหวาดหวั่นมากที่สุดคงไม่พ้น “ข่มขืน”
เพราะไม่มีใครรู้ว่า ตัวเอง หรือคนใกล้ชิดจะตกเป็นเหยื่อของภัยอันน่าสะพรึงกลัวนี้ เมื่อไหร่?
แฟชั่นการแต่งกายของหญิงสาวที่ค่อนข้างจะเปิดเปลือยเนื้อตัวประกอบกับการแพร่ขยายของสุรา ยาเสพติดและสื่อลามกในรูปแบบต่างๆกลายเป็นสิ่งเร้า กระตุ้นให้เกิดปัญหาอาชญากรรมทางเพศประเภทนี้มากยิ่งขึ้น
นักโทษชายผู้หนึ่ง ซึ่งยังรับโทษอยู่ในเรือนจำ คดีร่วมกันข่มขืนและใช้กำลังประทุษร้ายเปิดใจว่า

“ผมกับเพื่อนนักโทษอีกหลายคนที่ถูกจับในคดีข่มขืนเห็นว่าสาเหตุที่ทำให้ผู้หญิงถูกข่มขืนคือการแต่งตัวที่เปิดเผย ยั่วยวน ชอบเที่ยวกลางคืน ไว้ใจคนง่าย หรืออยู่ในที่เปลี่ยวตามลำพัง ถือว่ามีความเสี่ยงสูงที่จะถูกข่มขืนทั้งสิ้น”

สำหรับผู้หญิงที่มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกข่มขืนคือ กลุ่มเด็กหญิงอายุระหว่าง 11-15 ปี โดยคนใกล้ตัว เช่น พ่อ พี่ ลุงน้า อา ที่ขาดความยั้งคิด หรือติดสุรา ยาเสพติด นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ หรือครูหยุย ประธานคณะกรรมาธิการกิจการสตรีเยาวชนและผู้สูงอายุ ให้ข้อสังเกตถึงคดีบังคับล่อลวงไปข่มขืนว่า เหตุการณ์มักจะเกิดขึ้นช่วงเวลากลางคืน เพราะเงียบสงัดและเป็นเวลาว่างของวัยรุ่นชาย หญิง ที่จะนัดพบปะกัน ในช่วงเวลาดังกล่าว..วัยรุ่นชายกลางบางกลุ่มจะรวมตัวกันดื่มเหล้าบางกลุ่มรวมกันซิ่งรถแข่ง และเมื่อแอลกอฮอล์ออกฤทธิ์ก็ทำให้เกิดความคึกคะนอง อยากโชว์ อยากอวด อยากเก่งให้เพื่อนยอมรับ ดังนั้นเมื่อรู้ว่าเวลาไหนเป็นช่วงสถานการณ์เสี่ยงก็ควรหลีกเลี่ยงเสีย จะป้องกันตัวอย่างไรไม่ให้ตกเป็นเหยื่อถูกข่มขืน
ประการแรกคืออย่าไว้ใจใครมากเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นแฟนเพื่อนสนิทหรือแม้แต่ญาติใกล้ชิด เพราะมีตัวอย่างให้เห็นอยู่บ่อยๆว่าเหยื่อถูกญาติของตัวเองข่มขืน หรือโดนแฟนพาไปทำมิดีมิร้ายแล้วให้เพื่อนเรียงคิวต่อ ตรงนี้อยู่ที่ตัวคุณจะทำอะไรต้องระวังตัว ลดพฤติกรรมเสี่ยง ต่อมาคืออย่าแต่งตัวโป๊ หรือโชว์สัดส่วน ประเภทเปิดบน โชว์ล่าง หากพลาดท่าขึ้นมา ไม่ใช่คุณคนเดียวที่จะเสียใจ พ่อแม่ ผู้ปกครองจะพลอยซอกซ้ำใจไปด้วย อีกอย่างหนึ่งที่ต้องระวังให้จงหนัก คือ อย่าข้องแวะกับสุรา ยาเสพติด นอกจากนั้นอย่าไปไหนตามลำพังในเวลากลางคืน โดยเฉพาะตรอก ซอย เปลี่ยว หรือสถานที่ห่างไกลจากชุมชน หากมีความจำเป็นจริงๆ ควรไปกับเพื่อน ยิ่งมากยิ่งดี และต้องบอกให้คนทางบ้านรู้ด้วยว่าไปไหน ไปหาใคร จะกลับเมื่อไหร่
ประการสุดท้ายควรเรียนรู้ศิลปะป้องกันตัวไว้บ้าง สำคัญที่สุดในช่วงวิกฤตต้องมีสติ รู้จักเอาตัวรอด มีอุปกรณ์ป้องกันภัยที่เป็นประโยชน์ มีแล้วไม่ได้ใช้ ดีกว่าจำเป็นต้องใช้แล้วไม่มี ขณะเดียวกันต้องรู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของพวกหื่นกามเหล่านี้ โดยศึกษาข้อมูลจากผู้ที่เคยประสบเหตุมาก่อน ซึ่งมีหลายตัวอย่างปรากฏอยู่ตามสื่อต่างๆ

ถ้าตกอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลมจะถูกข่มขืนในเคหสถานให้ตะโกนว่า “ไฟไหม้” เพราะคนส่วนใหญ่จะสนใจมากกว่าคำว่า “ช่วยด้วย” เป็นการขอความช่วยเหลือที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด
ขณะที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เคยให้คำแนะนำ


คาถากันภัย “10 อย่า” สำหรับหญิงสาวเพื่อป้องกันภัยที่อาจมาถึงตัวคือ

1. อย่านุ่งกระโปรงสั้น การแต่งกายรัดกุม ไม่โป๊เกินไป ย่อมจะไม่เตะตาอาชญากรทางเพศ
2. อย่าดื้อรั้นลองยา หมายถึง กรณียาเสพติด อย่าไปทดลองเพราะเป็นสิ่งผิดกฎหมายและทำลายอนาคตตัวเอง
3. อย่าพึ่งพาคนแปลกหน้า คนที่ไม่รู้จักมาก่อน เข้ามาเกี้ยวพาราสี ทำทีเป็นแนะนำช่วยเหลือ เบื้องหลังอาจมุ่งล่อลวง-ขู่เข็ญ กระทำมิดีมิร้าย
4. อย่าคบหาเพื่อนไม่ดี หากลงคบเพื่อนไม่ดี คอยแต่ชักชวนไปทำในสิ่งที่เสียหายก็เสี่ยงที่จะเสียอนาคต
5. อย่าหลีกหนีพ่อแม่ ยุคนี้เด็กสาวมักจะโตเกินวัย ไม่มีเวลาให้กับพ่อแม่ ดังนั้นจึงควรหาเวลาอยู่ด้วยกัน เพื่อปรึกษาหารือและรับฟังคำใงสอนที่ดี
6. อย่าพ่ายแพ้ความฟุ่มเฟือย มีหญิงสาวบางรายต้องจำใจขายตัว-ขายยาเสพติด หรือลักทรัพย์ เพื่อสนองค่านิยมฟุ้งเฟ้อ เห่อแบรนด์เนมชีวิตต้องหมดค่า เพราะมัวเมากับวัตถุนอกกายมากเกินไป
7. อย่าเฉี่อยแฉะเที่ยวเตร่ ยิ่งเที่ยวเตร่ยามค่ำคืนด้วยแล้ว เป็นความเสี่ยงที่ควรหลีกเลี่ยงอย่างยิ่ง
8. อย่าเกเรไม่กลับบ้าน การที่หญิงสาวไปนอนค้างอ้างแรมในสถานที่ที่ไม่ใช่บ้านของตัวเอง ย่อมไม่สามารถควบคุมอะไรได้ แม้จะไปกับเพื่อนหญิงเป็นกลุ่มใหญ่ก็ใช่ว่าจะปลอดภัย
9. อย่าผลาญเงินทอง เงินทุกบาททุกสตางค์ กว่าพ่อแม่จะหามาได้ ไม่ใช่ง่ายๆ การใช้เงินอย่างไร้สติ นอกจากเป็นการไม่เห็นใจพ่อแม่แล้ว ยังเท่ากับทำร้ายตัวเองอีกด้วย
10. อย่ามองแต่เพื่อนชาย เด็กสาวที่ให้ความสำคัญกับเพื่อนชายมากไป มักถูกเอารัดเอาเปรียบสารพัด

นอกจากพลาดพลั้งเสียตัวแล้ว บางรายอาจโชคร้ายตกเป็นเหยื่อเพื่อนของแฟนอีกด้วย จะเห็นว่าทั้งหมดเป็นปัจจัยที่อาจทำให้เด็กสาวเสียอนาคตและเกิดอาชญากรรมทางเพศ กัดลิ้น อีกหนึ่งที่ช่วยให้รอดพ้นจากการถูกข่มขืนได้ผล

เมื่อปลายปี 2547 เด็กสาววัย 17 ปี ถูกหนุ่มใกล้บานหลอกพาซ้อนมอเตอร์ไซค์จะพาไปข่มขืน เรื่องนี้เป็นข่าวฮือฮา ในช่วงเหตุการณ์เข้าขั้นวิกฤติไอ้หนุ่มหื่นประกบปากจูบ ใช้ลิ้นดุนดันเข้าไปในปากสาวหวังพัวพันนัวเนียให้เหยื่อเคลิบเคลิ้ม แต่สาว 17 มีสติคงมั่น ตัดสินใจกัดลิ้นหนุ่มลามกจนขาดติดปาก เลือดโชก แล้ววิ่งหนีไปขอความช่วยเหลือหลบรอดจากการเสียสาวได้อย่างหวุดหวิด ขณะที่ตำรวจก็ตามจับไอ้หนุ่มสิ้นด้วนในเวลาต่อมา!!

ปัจจุบันนี้ มีวิธี กลลวง ผู้หญิงไปข่มขืนรูปแบบใหม่

วันหนึ่งกับผู้หญิงคนหนึ่ง ป้ายรถเมล์แห่งหนึ่งกลางกรุง มีเด็กผู้หญิงอายุประมาณ 7-8 ขวง นั้งร้องไห้อยู้ป้ายรถเมล์ หญิงสาวรู้สึกสงสารเดินเข้าไปถามว่าเกิดอะไรขึ้นจ๊ะหนู เด็กคนนั้นตอบว่า “หนูหลงทาง พาหนูกลับบ้านด้วย” แล้วเด็กน้อยก็ยื่นกระดาษที่มีอยู่ให้กับหญิงสาว ด้วยความที่เป็นคนที่มีจิตใจดี และเห็นว่าที่อยู่เดก็ ที่ให้ไปส่งอยู่ไม่ไกลจากบริเวณนั้น ก็เลยอาสาพาเด็กน้อยไปส่งตามี่อยู่นั้น พอไปถึง บ้านกลับปิดเงียบสนิท เด็กน้อยบอกให้กดกริ่ง “แล้วหญิงสาวก็จำได้แค่นั้น” ( เพราะกริ่งนั้นมีกระแสไฟฟ้า) มารู้สึกตัวอีกที ก็พบว่าตัวเองมานอนอยู่ที่ไหนสักแห่ง ในสภาพไม่มีเสื้อผ้าสักชิ้น ซ้ำร้าย เธอถูก “ข่มขืน”

คำเตือน : ถ้าพบเห็นกรณีเช่นนี้ ควรช่วยเหลือเด็กด้วยการประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ให้เป็นหน้าที่ของผู้พิทักษ์สินติราษฎร์คุณจะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อ

จากภัยผู้หญิงต่างๆ ที่ได้กล่าวมาในตอนต้น ส่วนใหญ่มีจุดสุดท้าย คือการข่มขืน ดังนั้น การศึกษาเรื่องการข่มขืนอย่างถ่องแท้ เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งที่ผูหญิงทุกคนต้องได้รับรู้ เพื่อป้องกันมหันตภัยที่อาจเกิดขึ้น ไม่วันใดก็วันหนึ่งในช่วงชีวิต

ข้อมูลของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้รายงานผลการวิจัยของ ดค.กฤตติยา อาชวนิชกุล และคณะที่มีการสำรวจเรื่องสังคมไทยกับภัยข่มขืน พบว่า (ในกรณีที่มีการแจ้งความแต่เชื่อว่า ถูกข่มขืนโดยไม่แจ้งความมีมาก)

คดีข่มขืนที่มีการแจ้งความดำเนินคดีในปี 2547 มีจำนวน 5,052 ดดี มากกว่าปี 2541 ซึ่งมี 3,741 คดี สรุปว่ามีคดีเกิดขึ้นมากกว่าเดิมในรอบ 8 ปี ถึง 35 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งนี่เป็นตัวเลขที่มีการแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเท่านั้น คาดการณ์ว่ามีเหตุการณ์ข่มขืนที่เกิดขึ้นจริงในสังคมมากกว่านี้หลายเท่า

เรื่องจริงเกี่ยวกับการข่มขืน

ผู้หญิงทุกคนมีโอกาสถูกข่มขืนไม่ว่าจะมีอายุมากหรือน้อยไม่ว่าจะมีอาชีพใด ไม่ว่าจะแต่งกายอย่างไร ไม่ว่าจะมีนิสัยอย่างไร ไม่ว่าจุมีการศึษษาอย่างไร ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด สิ่งที่ผู้หญิงกลัวที่สุดในชีวิต คือการถูกข่มขืน กลัวมากกว่าการตกงาน กลัวมากกว่าความจน กลัวมากกว่าการอกหัก แต่ผู้หญิงกลับละเลยที่จะป้องกันตัวเองอย่างเพียงพอ ความคิดที่ว่า “ มันคงไม่เกิดขึ้นกับเรา” เป็นสาเหตุแรกที่นำไปสู่การถูกข่มขืน
คนร้ายที่ทำการข่มขืน คือผู้ชายทุกสถานภาพ อายุ อาชีพ การศึกษา เชื้อชาติ ภูมิหลัง รูปร่าง หน้าตา
การข่มขืนส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากผู้ชายที่รู้จักมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนบ้านผู้ร่วมงาน เพื่อนสนิท ญาติ พี่น้อง ครู แฟน แม้กระทั่งพ่อแท้ๆ

สถานที่ที่ผู้หญิงถูกข่มขืนมากกว่าครึ่ง เกิดขึ้นในบ้าน หรือที่พักของผู้หญิงเอง
ผู้หญิง 1 ใน 4 ของโลก เคยถูกคุกคามทางเพศก่อนที่จะมีอายุ 18 ปี
อาชญากรที่ข่มขืน จะข่มขืนผู้หญิงไปเรื่อยๆจนกว่าจะถูกจับ

ข้อมูลจากนักโทษคดี “ข่มขืน”

คนร้ายส่วนใหญ่เลือกเหยื่อที่ไว้ผมยาว เพราะฉุดกระชากได้ง่าย คนร้ายส่วนใหญ่เลือกเหยื่อที่ใช้โทรศัพท์มือถือ กำลังค้นหาของในกระเป๋าสะพาย กำลังทำกิจกรรมต่างๆหรือกำลังเดินเพราะขณะนั้นผู้หญิงขาดการระวังป้องกันตนเอง คนร้ายเลือกเหยื่อที่มีอายุน้อย เพราะมีโอกาสถูกต่อต้านน้อยกว่าผู้ที่มีอายุมาก (เมื่อมีอายุมาก ย่อมมีประสบการณ์มาก) คนร้ายเลือกเหยื่อที่สวมเสี้อผ้าง่ายต่อการปลดเปลื้อง เช่น กระโปรง กางเกงขาสั้น

ปัจจัยที่นำไปสู่การข่มขืน

1.ปัจจัยภายนอก

เวลา (เวลากลางคืน สัมพันธ์กับสถานที่)
สถานที่ (ห่างไกล ปลอดคน แสงสว่างน้อย บุคคลื่นเข้ามาช่วยได้ยาก)
บุคคล
- ดักซุ่มรอโอกาส (คนไม่รู้จัก)
- ชักนำสร้างสถานการณ์เพื่อนำไปสู่โอกาส (คนรู้จักกัน)

2. ปัจจัยภายใน

- ความคิดของผู้หญิงเอง (ประมาท คิดไม่ถึง ไว้ใจ เกรงใจ กลัวจนขาดสติ
- สรีระร่างกาย (รูปร่างบอบบางไม่แข็งแรง รูปร่างยั่วยวนไม่เคยฝึกฝนด้านการป้องกันตัว ไม่อุปกรณ์ป้องกันตัว)
ถ้าผู้หญิงทุกคนเข้ใจปัจจัยดังกล่าวแล้ว จะปิดโอกาสที่จะต้องตกเป็นเหยื่อของการถูกข่มขืนได้ โดยหลีกเลี่ยงไม่นำพาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์เสี่ยง ตามปัจจัยภายนอกทั้ง สาม ข้อ คือ เวลา สถานที่ และบุคคล หากจำเป็นต้องเผชิญกับสถานการณ์เสี่ยง คุณต้องมีปัจจัยภายในที่พร้อมรับสถานการณ์ คือมีสติ ไม่ประมาท มีไหวพริบ และการฝึกฝนที่มีอยู่ เอาตัวรอดให้ได้

ทำอย่างไรเพื่อหลีกเลี่ยงภัยข่มขืน

1.อย่าพาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์เสี่ยง


1.1สถานที่เสี่ยง คือจุดที่ผู้คนสัญจรน้อย เช่น ซอยเปลี่ยวหรือจุดที่เป็นจุดลับตาคน เช่น ซอกตึก ใต้สะพาน หรือจุดที่มีทางเข้าออกทางเดียว หรือจุดที่มีแสงสว่างน้อย
1.2 ช่วงเวลาเสี่ยง คือ บางสถานที่เวลากลางคืนเลิกงานวันหยุด อาจมีความเสี่ยงได้ ส่วนใหญ่เวลากลางคืนจะมีความเสี่ยวงมากกว่ากลางวัน
1.3 บุคคลเสี่ยง คือบุคคลที่อยู่กับเราหรือใกล้ชิดกับเรา อาจเป็นคนค้ายเอง เช่น เพื่อนร่วมงาน หรือบุคคลที่เราต้องมีปฏิสัมพันธ์ด้วย หรือ บุคคลจรจัดในสถานที่ต่างๆ เช่น ป้ายรถเมล์ สวนสาธารณะ สถานีขนส่ง ช่างซ่อมบ้าน คนขับรถตู้ รถแท็กซี่

2. หากจำเป็นต้องตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยง

2.1 ตั้งสติให้ดีว่าเหตุร้ายอาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา และคิดทบทวนวิธีป้องกันตัวเองตามสถานกการณ์ที่เคยฝึก หรือเคยสมมุติสถานการณ์ล่วงหน้า เช่น เดินเข้าซอยเปลี่ยวต้องทำอย่างไร นั่งรถโดยสารประจำทางต้องทำอย่างไร เป็นต้น ทำให้เป็นนิสัยโดยอัตโนมัติ
2.2 พกพาสิ่งจำเป็ฯในการป้องกันตัว เช่น ไฟฉาย นกหวีด สเปรย์ป้องกันตัว
2.3 ควรฝึกฝนวิชาป้องกันตัวไว้ด้วย เพื่อสร้างความมั่นใจในการแก้ปัญหาฉุกเฉิน เพื่อผ่อนหนักให้เป็นเบา
2.4 จงเชื่อในสัญชาตญาณระวังภัยของคุณเองหากเกิดความรู้สึกไม่ปลอดภัย เตรียมตัวรับสถานการณ์ กล้าในสิ่งที่ควรกล้า และกลัวในสิ่งที่ควรกลัว

3. วิธีปฏิบัติหากตกอยู่ในสถานการณ์จะถูกข่มขืน

หากคุณถูกจู่โจมแล้วถูกล็อกคอโดยส่วนใหญ่คนร้ายข่มขืนไม่ต้องการฆ่า ต้องการเพียงข่มขืน แต่เนื่องจากการดิ้นรนขัดขืนทำให้คนร้ายล็อกคอจนขาดอากาศหายใจและเสียชีวิต หรือคนร้ายใช้อาวุธทุบตี หรือต่อยรุนแรงเกินไปจนหมดสติ หรือเสียชีวิต ดังนั้นหากคุณถูกล็อกคอและดิ้นไม่หลุดแล้ว ควรตั้งสติ แล้วพยายามพูดให้คนร้ายเชื่อว่าคุณจะยอมโดยดีและไม่พยายามดิ้นรน ช่วงเวลานี้คุณมีเวลาตั้งสติและสูดหายใจเพื่อรับสถานการณ์ได้ คนร้ายจะลดความพยายามที่จะฆ่าคุณลงและจะผ่อนคลายการพันธนาการคุณ อย่าให้คนร้ายกระทำให้คุณหมดสติ เพราะเมื่อคุณหมดสติไปแล้ว คนร้ายจะทำอะไรกับคุณก็ได้ รวมทั้งฆ่าคุณได้หลังจากข่มขืน เพราะกลัวความผิด

บอกคนร้ายว่าคุณกำลังมีประจำเดือนพอดี ซี่งผู้ชายไทยส่วนหนึ่งยังมีความเชื่ออยู่ว่าหากร่วมประเวณีกับหญิงที่มีประจำเดือนจะทำให้เกิดอัปมงคลอย่างยิ่ง คุณอาจเคราะห์ดีเจอคนร้ายพวกนี้ ในระหว่างนี้คุณอาจมีข้อเสนอเพื่อลดความกำหนัดของคนร้ายโดยบอกว่ายินยอมทำให้คนร้ายสำเร็จความใคร่ หรือยอมให้คนร้ายใช้มือล่วงเกินไปบ้าง ก็จำเป็นเพื่อรอจังหวะในการเอาตัวรอดและอาจบอกให้คนร้ายถอดกางเกงก่อน ประวิงเวลาให้นานที่สุดเพื่อรอการเผลอตัวของคนร้าย

เมื่อคนร้ายเผลอ เช่น กำลังถอดกางเกง ให้คุณตะโกนดังๆว่า “ตำรวจมาๆๆๆ” คนร้ายทุกคนกลัวตำรวจเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจะช็อกไปชั่วขณะแล้วมองซ้ายมองขวา จังหวะนี้หากคุณลุกขึ้นรีบวิ่งหนี หรือแถมด้วยการเตะผ่าหมากคนร้ายด้วย จะทำให้คุณรอดพ้นนาทีวิกฤติมาได้ การตะโกนว่า “ช่วยด้วยๆๆ” เป็นการเร่งรัดให้คนร้ายทำให้คุณเงียบเสียง ดังนั้นควรตะโกนว่า “ตำรวจมาๆๆ” จะดีกว่า
การกัดลิ้นในนขณะที่คนร้ายพยายามจูบโดยใช้ลิ้น ก็เป็นวิธีที่ใช้ได้ผลมาแล้ว แต่ต้องระวังในกรณีที่คนร้ายมีอาวุธ เช่น มีด หรือไม้

หากที่เกิดเหตุเป็นพงหญ้า ควรใช้มือความหากิ่งไม้แหลมๆทิ่มตาคนค้ายในขณะที่กำลังเผลอก่อนวิ่งหนี
การเรียนวิชาป้องกันตัว จะทำให้คุณทราบจุดอ่อนของคนร้ายในการลงมือเพื่อหยุดยั้งคนร้ายอย่างมีประสิทธิภาพ

ถ้าระวังป้องกันตัวอย่างเต็มที่แล้ว เกิดพลาดพลั้งขึ้นมาจะทำอย่างไร ประการแรกเลย ต้องรีบไปพบตำรวจ ตรวจหาร่องรอยการถูกทำร้ายและแจ้งความดำเนินคดี รวมทั้งให้แพทย์เก็บหลักฐานทางคดี
อย่าทนทรมานเก็บคกรรมที่มันก่อขึ้น แน่นอนว่าเหยื่อที่ถูวามอับอายไว้ ต้องเอาคนชั่วมารับกขืนใจ ต้องเกิดความอับอายและเครียดจัดบางคนถึงขั้นคิดสั้นฆ่าตัวตายเป็นอาการที่เรียกว่า Trauma Syndrome
ประเด็นนี้ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา ให้คำแนะนำว่า สภาพจิตของหญิงที่ตกเป็นเหยื่อถูกขืนใจ จำเป็นต้องได้รับการเอาใจใส่ดูแลอย่างใกล้ชิด

สถานที่แห่งหนึ่งที่จะช่วยคลี่คลายแก้ปัญหานี้คือ “ศูนย์กนิษฐ์นารี” ของสมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรี ในพระอุปถัมภ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าโฉมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ตั้งอยู่เลขที่ 501/1 หมู่ 3 ถนนเดชะตุงคะ แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กทม.10210 หมายเลขโทรศัพท์ 0-2929-2222
ศูนย์แห่งนี้มีนักสังคมสงเคราะห์ ประจำอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง

คุณสุวิพร มายอด..นักสังคมสงเคราะห์ประจำศูนย์กนิษฐนารีให้คำแนะนำว่าหากเหยื่อถูกข่มขืนรายใดไม่กล้าไปแจ้งความให้โทรศัพท์ไปที่ศูนย์ พูดคุยนัดเจอกันเพื่อประสานพนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ นักจิตวิทยา ทีมแพทย์ มาตรวจร่างกาย ร่วมสอบปากคำโดยการอัดเทปเอาไว้ ซึ่งทำให้ผู้เสียหาย ไม่จำเป็นต้องไปขึ้นศาล

จากนั้นจะรับตัวไว้ฟื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจ เหยื่อรายใดที่ถูกข่มขืน จนไม่กล้ากลับบ้าน จะจัดให้อยู่ที่ศูนย์อบรมวิชาชีพให้จนกว่าคดีจะสิ้นสุด สำหรับในรายที่เกิดตั้งท้องขึ้นมาไม่เกิน 3 เดือน และต้องการเอาเด็กออก ทาศูนย์พร้อมดำเนินการให้ตามกฎหมาย

ส่วนพวกที่โชคร้ายติดเชื้อ HIV หรือ เชื้อเอดส์ จะได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ขณะเดียวกันทางศูนย์จะคอยติดตามผลทางคดี ว่ามีความคืบหน้าไปถึงไหน เหยื่อรายใดกลับไปอยู่บ้าน จะมีเจ้าหน้าที่ไปเยี่ยมเยียนดูแลอย่างสม่ำเสมอ พร้อมสอบถามปัญหาต่างๆ จากพ่อแม่และญาติของเหยื่อ สิ่งที่อยากเน้นสำหรับผู้หญิงที่ถูกข่มขืน คือต้องรีบแจ้งความและตรวจร่างกายภายใน 48 ชั่วโมง หรืออย่างช้าที่สุดไม่เกิน 72 ชั่วโมง เพราะร่องรอยหลักฐานต่างๆยังหาได้ง่าย บางรายถูกข่มขู่จนไม่กล้าแจ้งความ นาน2-3 เดือน กว่าเรื่องจะถึงตำรวจ หลักฐานต่างๆ ไม่เหลือแล้ว การจับกุมคนผิดก็ยากขึ้น

ศูนย์กนิษฐ์นารีจะรับดูแลผู้เสียหายใน กทม.
ส่วนในปริมณฑลจะมีสถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพบ้านเกร็ดตระการ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ตั้งแต่อยู่เลขที่ 34/1 หมู่ 2 ต.เกาะเกร็ด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี รหัสไปรษณีย์ 11120
หมายเลขโทรศัพท์ 0-2584-5115

จังหวัดอื่นๆ จะมีสถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพบ้านสองแคว จ.พิษณุโลก ตั้งอยู่เลขที่ 492/4 หมู่17 ต.หนองกุลา อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก โทรศัพท์ติดต่อ 0-9856-9456

สถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพบ้านนารีสวัสดิ์ จ.นครราชสีมาตั้งอยู่เลขที่ 1422 ถนนสุรนารายณ์ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา รหัสไปรษณีย์ 30000 หมายเลขโทรศัพท์ 0-4424-2724,0-4423-0368

สถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพภาคใต้ (บ้านศรีสุราษฏร์) จ. สุราษฎร์ธานี ตั้งอยู่เลขที่ 39 หมู่1 ซอยพิเศษ ถนนสุราษฆชฎร์-นาสาร ต.ขุนทะเล อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี รหัสไปรษณีย์ 84100 หมายเลขโทรศัพท์ 0-7735-5540-1

ทุกแห่งให้การดูแลและความคุ้มครองผู้เสียหายในแนวทางเดียวกัน
จู่..ไม่อยู่ในระเบียบ เมื่อสถานการณ์อันตรายจะถูก “ข่มขืน” บอก “ไอ้หื่น” ถอดกางเกงของมันลงกองอยู่กับพื้นที่ข้อเท้า แล้วคุณจะถลกกระโปรงขึ้น คิดดูซิ ระหว่างผู้ชายที่มีกางเกงอยู่ที่ข้อเท้า ทั้ง 2 ข้างกับผู้หญิงที่ถลกกระโปรงขึ้นโครจะวิ่งได้เร็วกว่ากัน ขอถาม รูปพรรณ สัญฐาน

การสังเกต จดจำ ตำหนิ รูปพรรณ บุคคล หรือคนร้าย

1.ความสูง
2.ทรงผม
3.รูปหน้า
4.เสิ้อผ้า การแต่งกาย
5.แผลเป็น
6.เชื้อชาติ อายุ
7.รอยสัก
8.อาวุธ

หลักการสังเกตและจดจำ

1.จำในสิ่งที่เห็นชัดเจน
2. พยายามจำลักษณะเด่นไปสู่ลักษณะปกติธรรมดา
3. รีบจดบันทึกทันที กันลืม

สิ่งที่ควรจดจำก่อน

1. เพศ
2. อายุ วัย
3.รูปร่าง
4 . สีผิว
5. เชื้อชาต
6. รูปหน้า
7. สีผม ทรงผม
8. ปาก หัน
9. ตา คิ้ว
10. หู
11. จมูก
12. ตำหนิความพิการ แผลเป็น รอยสัก
13. ท่าทางการเดิน
14.สำเนียงการพูด
15.การแต่งกาย เครื่องประดับ

การจดจำยานพาหนะของคนร้าย

1. ประเภท
2. ยี่ห้อ
3. สี
4. สภาพเก่า/ใหม่
5. หมายเลขทะเบียน
6. ตำหนิรอยชน/บุบ
7. สติกเกอร์
8. เสียงเครื่องยนต์

ที่มา : หนังสือ “ภัยผู้หญิง”