ภัยตกทองและของมีค่า

“ทองคำ” วัตถุมีค่าที่อาจทำให้คุณถูก “ฆ่า”เสียทองเท่าหัว ไม่ยอมเสียผัวให้ใคร มันล้าสมัยไปแล้ว สมัยนี้ต้องบอกว่า “เอาทองมาเท่าหัว (หัวแม่มือก็พอ)เอาผัว (กู)ไปเลย”
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าราคาทองคำในยุคนี้สุดแสนจะแพง จึงทำให้แก๊งตกทองเพิ่มมากขึ้นทุกวันราวกับเชื้อราบนขนมปังจากที่เมื่อก่อนใช้วิธีกระชากทองกันจะจะจนเหยื่อเสียเลือดเสียเนื้อ เดี๋ยวนี้ใช้ยุทธวิธีที่แยบยลมากจนสามารถเอาทองของคุณผู้หญิงไปเป็นของคุณโจรอย่างง่ายดายและกระทำแบบละมุนละม่อม...ไม่เจ็บตัว แต่เจ็บใจ(อิ๊บอ๋าย) ที่เรียกว่าคุณโจรด้วยเหตุผลที่ว่า แก๊งตกทองมักแต่งตัวดีเพื่อให้เหยื่อตายใจ
ยุคทองคำ ทำราคาดีกับร้อยแปดปัญหาที่ต้องจับตา!!!หนึ่งในรูปแบบของการตกทองสาวพนักงานขายตกเป็น....เหยื่อ
ต้นเดือน พ.ศ. 2548 พนักงานขายบริษัทแห่งหนึ่ง อายุ 21 ปี ประสบการณ์ยังน้อย เดินซื้อของในห้างสรรพสินค้าย่านปากเกร็ด จ. นนทบุรี
มีผู้หญิง 2 คน อายุราว 35-40 ปี เข้ามาพูดคุยดีสนิทลักษณะเป็นมิตร (มิจฉาชีพ) สักพักทั้งคู่ก็ล้วงห่อผ้าออกมาเปิดให้เห็นสร้อยคอทองคำเส้นเขื่อง หนักประมาณ 10 บาท แล้วบอกว่าเพิ่งเก็บได้ในห้างแต่ตามหาเจ้าของไม่เจอ (จิตใจดีจริงๆ)สองสาวมิตรใหม่ที่เพิ่งจะเจอกันก็ถามว่ารู้จักร้านทองแถวนี้บ้างมั้ย จะเอาทองไปขายแล้วนำเงินมาแบ่งกันเธอหลงเชื่อ เพราะความโลภจึงรับอาสาเป็นผู้เอาทองไปขายให้แต่ทั้งสองสาวใหญ่เริ่มตั้งแง่ทำนองว่า ถ้าให้ทองไปแล้วจะเชื่อใจได้อย่างไรว่าคุณจะไม่เชิดทองหนีไปสองสาวใหญ่พูดเกลี้ยกล่อมจนเธอยอมถอดสร้อยคอทองคำหนัก 1 บาทจากคอที่สวมอยู่ พร้อมเงินสดอีก 4 พันบาทไว้เป็นประกัน เพื่อสร้างความมั่นใจ ทั้งคู่จึงยื่นสร้อยคอที่อ้างว่าเก็บได้ให้ กำชับว่าถ้าขายได้ ให้รีบกลับมาที่เดิม จะได้คืนของให้ พร้อมรับเงินส่วนแบ่งที่เป็นธรรม เมื่อเธอนำทองไปขายที่ร้าน ถึงรู้ว่าเป็น “ทองปลอม” เธอจึงรีบย้อนกลับไปยังจุดนัดพบ ปรากฏว่าทั้งคู่หายเข้ากลีบเมฆไปแล้ว ถึงรู้ตัวว่าเสียรู้ “แก๊งตกทอง” เหยื่อคนนี้มีทั้งความโง่และความโลภในเวลาเดียวกัน เมื่อเค้าเก็บทองได้ทำไมจึงต้องหาคนมาเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งร้านทองที่ไหนก็ซื้อทองทั้งนั้น ถ้าเป็นทองแท้ หรือ “พานทองแท้” ไม่จำเป็นต้องหาร้านที่รู้จัก
เงินเดือนสาวออฟฟิศก็นิดเดียว ลำบากแทบอาเจียนเป็นเลือดกว่าจะซื้อทองได้แต่ละสลึง (มึง) ยังมาหลอกเอาของกูไปอีก เธอได้แต่พึมพำในใจ เหตุที่เธอเสียรู้ เสียเงิน และเสียทอง เพราะไม่ฉุกคิดว่า ทำไมสาวใหญ่ไม่นำทองที่เก็บได้ไปขายเอง เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ทำไมต้องยอมแบ่งผลประโยชน์ให้คนอื่น ถ้าเธอคิดได้เธอก็คงไม่ต้องเสียค่าโง่
มิจฉาชีพประเภทนี้ มักออกล่าเหยื่อตามแหล่งที่มีผู้คนพลุกพล่านผ่านไปมา เช่น ตลาดสด ห้างสรรพสินค้า หน้ามหาวิทยาลัย แม้กระทั่งป้ายรถเมล์ ฯลฯ
แก๊งพวกนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง เพราะเข้าถึงตัวเหยื่อได้ง่าย ส่วนมากจะเล็งเหยื่อสาวที่อ่อนต่อโลกเป็นพิเศษและพฤติกรรมไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก ร้อยทั้งร้อยจะทำทีว่าเก็บทองได้ ประเภทสร้อยคอทองคำ หรือสร้อยข้อมือทองคำเส้นเป้งๆ ปฏิบัติการโดยการเริ่มมองหาเหยื่อที่มีแววตา เซ่อปนโลภ (แดกดัน) มีเครื่องประดับประเภททองคำเป็นของคู่กาย


แผนลวงเหยื่อของแก๊งตกทอง!!!!
1.มันจะเลือกผู้หญิงสวมใส่เครื่องประดับมีราคา เช่น ทอง นาก
2.จากนั้นจึงเข้าไปพูดจาหว่านล้อมเพื่อให้เหยื่อเกิดความโลภจนอยากได้ของที่ไม่ใช่ของตน
3.ใช้ทองปลอมที่โกหกว่าเก็บได้ แลกกับทองจริงรวมทั้งเงินสดในกระเป๋าของเหยื่อ โดยจะหลอกให้ผู้เสียหายเชื่อว่าตนเองจะเป็นฝ่ายได้กำไรอย่างงาม แต่เมื่อหลงกลก็เข้าทางมิจฉาชีพ 18 มงกุฎ
จงเตือนตนเอาไว้อย่าเป็นคนโลภ เพราะโลภมักลาภหายและยังจะนำความหายนะมาเยือนด้วย เอาพระเครื่องมาหลอกก็มี
ผู้หญิงวัยกลางคนแต่งตัวซอมซ่อ เข้ามาขอตังค์ อ้างว่าจะกลับต่างจังหวัด เมื่อเหยื่อสาวปฏิเสธ หญิงคนดังกล่าวก็ล้วง พระสมเด็จฯที่ห่อผ้าเช็ดหน้าไว้เป็นอย่างดีขึ้นมา พูดจาชวนเชื่อได้ว่าเป็นสมบัติที่ตกทอดมาตั้งแต่รุ่นพ่อ ซึ่งมีมูลค่าหลายหมื่นบาทจะขอแลกกับทรัพย์สินบางส่วน หญิงสาวผู้อ่อนต่อโลก เจอเข้าไม้นี้ก็หลงเชื่อยอมถอดสร้อยคอทองคำหนัก 1 บาท พร้อมสร้อยข้อมือหนักห้าสิบสตางค์และเงินสดอีก 300 บาท ยื่นให้หญิงคนดังกล่าว เพื่อแลกกับเศษดินที่พิมพ์เหมือนพระสมเด็จฯ จากนั้นจึงแยกย้ายกันไปด้วยความพอใจของทั้งสองฝ่าย
ต่อมาเมื่อหญิงสาวที่ตกเป็นเหยื่อรู้ว่าเป็นพระปลอมก็ไปแจ้งความที่โรงพัก แต่สุดท้ายเมื่อรู้ตัวก็สายเสียแล้ว
อีกหนึ่งกรณีศึกษา.....เกิดขึ้นในท้องที่ สน.เตาปูน เมื่อปลายปี 2547 หญิงวัย 50 เศษ เจอชายคนหนึ่งมาพูดคุยลักษณะหนิดหนมเพื่อขอให้ช่วยหาเงินกลับบ้านนอกเหมือนกัน ฟอร์มเดิมๆ
สักพักก็ล้วงพระสมเด็จฯขึ้นมา อวดอ้างหว่านล้อมว่าเป็นพระเก่า แต่จำต้องตัดใจปล่อย เพราะจะหาเงินกลับบ้าน (ถ้าเป็นผมจะบอกว่าไปพระเก่าไม่เอา ขอชีใหม่ๆ) ระหว่างคุยกันมีชายอีก 2 คน แวะเวียนมาขอดูพระ พอทั้งคู่เห็นเข้าก็ทำตาโต พร้อมกับบอกว่าเป็นของแท้ ถ้าพวกตนมีเงินติดตัวติดกระเป๋าสักหมื่นสองหมื่น จะไม่ปล่อยให้หลุดมือไปแน่ เพราะถ้าเอาไปปล่อยขายต่อ ต้องทำกำไรได้ไม่ต่ำกว่า 4-5 หมื่นบาท เจกแบบนี้เหยื่อได้ยินเข้าก็คว้าหมับ ยอมถอดสร้อยคอทองคำหนัก 2 บาท แลกกับพระสมเด็จฯ รุ่นป้ายรถเมย์
สุดท้ายก็ลงเอยเหมือนกัน คือเจอเศษดินไปบูชาให้เจ็บใจเล่นล่าสุด 18 มงกุฎรูปแบบใหม่ตกทองโดยไม่ลงทุนอะไรเลย โดยมันจะเข้ามาตีสนิท บอกว่าอยากซื้อทอง ลวงเหยื่อให้ไปช่วยเลือกลายที่ร้านทองด้วย คนในร้านจึงเข้าใจว่ามาด้วยกัน พอสบโอกาสโจรร้ายก็คว้าทองเชิดหนี เจ้าของร้านก็ไม่เอะใจเพราะเข้าใจมีเพื่อนอยู่ก็เลยถูกยัดเยียดบททั้ง “เหยื่อ” ทั้ง “โจร” ให้ผู้ที่ถูกหลอกมาในคราวเดียวกัน กว่าจะรู้ตัวก็กลายเป็นแพะร้องแบ๊ะๆไปซะแล้ว อยู่ดีดีได้เป็นโจรโดยไม่ตั้งใจ
ขบวนการแก๊งตกทองมีทั้งมาเดี่ยวและเล่นกันเป็นทีม มีทั้งหน้าม้า หน้าหมา หน้าคน ปนกันไป บ้างก็ปลอมตัวเป็นพระสงฆ์ เบน ความสนใจให้คนที่หวาดผวาจากแก๊งตกทองเชื่อจนเหยื่อตายใจ พอเห็นเป็นพระมาให้เช่าพระเครื่อง ของหายากในราคาถูก ความโลภก็แล่นเข้ามาจนยอมแลกทองกับเศษดินเศษทรายไร้ค่าได้โดยไม่นึกระแวง
ขบวนการการตกทองหากินได้ทุกที่ทุกเวลา ทุกวันไม่เว้นเหยื่อได้ทุกที่ ทุกเวลา ขึ้นอยู่กับจังหวะและโอกาสจะเอื้ออำนวย ที่สำคัญคือเล็งไปที่ความโลภของเหยื่อเป็นหลัก


ข้อควรระวังให้พันภัยโจรประเภทนี้
1. อย่าใส่ของมีค่าโดยเฉพาะทองล่อตา แก๊งตกทองจะเริ่มมองเหยื่อจากเครื่องประดับ เช่น ทองคำ นาก เพชร แล้วค่อยคืบคลานเข้าไปตะล่อม กล่อมคุณจนเสียรู้
2. อย่ายุ่งกับคนแปลกหน้าที่เข้ามาตีสนิท และเสนอผลประโยชน์ประเภทของดีราคาสูงของมัน แลกกับทรัพย์สินจำนวนเล็กน้อยของคุณให้คิดไว้ก่อนว่าอาจจะมีสิ่งไม่ชอบมาพากลแอบแฝงอยู่ เพราะบางที่คนที่มาทำตัวเป็นมิตรก็อาจจะกลายเป็นมิจฉาชีพได้
3. จะสงสารเห็นใจช่วยเหลือใครควรอยู่ในขอบเขต โดยเฉพาะกับคนแปลกหน้า หากมาเซ้าซี้มากๆให้ขู่แจ้งตำรวจ รับรองว่าหนีกระเจิง
4. สิ่งสำคัญที่สุดที่จะช่วยคุณให้รอดพ้นจากภัยของแก๊งตกทองคือ “อย่าโลภ”
ความโลภเป็นบ่อเกิดแห่งความ “หายนะ”
ระวัง คนที่เข้ามาแสดงความเป็นมิตร (มิจฉาชีพ)


ที่มา : หนังสือภัยผู้หญิง